พระพุทธรูปปางนอนหงายนี้  เป็นพระปางถวายพระเพลิง  หลังจากพระพุทธธเจ้าดับขันธปรินิพพานแล้ว  ได้นำผ้าใหม่ซับด้วยสำลีแล้วพระพุทธสรีรศพห่อด้วยผ้าห้าร้อยคู่  แล้วเชิญพระพุทธสรีรศพลง ประดิษฐาน ณ รางเหล็กอันเต็มด้วยน้ำมันแล้วปิดครอบด้วยฝารางเหล็กเสร็จ  แล้วนำไปตั้งพระพุทธสรีรศพโดยลักษณะนอนงายไว้บนจิตกาธารที่ทำด้วยไม้หอมล้วนๆ  ที่มกุฏพันธนเจดีย์  เมืองกุสินารา เพื่อทำฌาปนกิจถวายพระเพลิง  แล้วจึงได้ทำการประชุมพระเพลิงแต่ปรากฏว่าไฟไม่ติด  รอจนพระมหากัสสปเถระเดินทางมาถึง  แล้วได้กราบพระพุทธสรีรศพ  พอกราบลงครบ ๓ ครั้ง  ปรากฏว่าไฟติดขึ้นมาอย่างหน้าอัศจรรย์  ดังนั้นจึงเรียกพระปางนี้ว่า  ปางถวายพระเพลิง  มีแห่งเดียวในประเทศไทย  ชาวบ้านเคารพกันมากจึงมากราบไหว้ขอพรกันทุกวันไม่ขาด

                           สร้างพระเจดีย์องค์ใหญ่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้หน้าพระวิหาร    พระบรมสารีริกธาตุ  ตามชาวบ้านที่เล่าสืบกันมาว่า  มีพระเถระได้มาจากกรุงราชคฤห์  แห่งประเทศอินเดีย  เมือสมัยพระยาพิชัยได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดราชคฤห์วรวิหาร  ได้สร้างพระเจดีย์องค์ใหญ่เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้

พระปรางพระยาพิชัยดาบหัก 

(ประวัติพยาพิชัยดาบหัก  คนดีกรุงธนบุรี)

                           พระยาพิชัยดาบหัก (จ้อยหรือทองดี)  เกิดเมื่อ  พ.ศ. ๒๒๘๔  ที่บ้านห้วยคา  อำเภอพิชัย  จังหวัดอุตรดิตถ์  ศึกษาอยู่กับพระครูที่วัดมหาธาตุ  (วัดใหญ่)  มีความรู้ความสามารถในเชิงมวยและเชิงดาบ  รับราชชการในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช  หรือพระเจ้ากรุงธนบุรี  ได้รับพระราชทานเป็นหลวงพิชัยอาสา  เมื่ออายุ  21  ปี  ในปี  พ.ศ.  2310  เป็นแม่ทัพหน้าของขบวนไทยกู้ชาติ  รบกับพม่ากู้อิสรภาพไทยคืนมา  ต่อมาได้เป็นเจ้าหมื่นไวยวรนารถ  ตำแหน่งทหารเอกราชองครักษ์  และได้เลื่อนเป็นพระยาสีหราชเดโชตามลำดับ  จนถึงพ.ศ. 2313  ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าเป็นพระยาพิชัย  ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการครองเมืองพิชัยต่างพระเนตรพระกรรณ  ระหว่าง  พ.ศ. 2315 ถึง 2316  ได้คุมกองทัพออกสู้พม่า  ซึ่งยกมาตีเมืองพิชัย 2 ครั้ง

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21